วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ประวัติกีฬากระบี่กระบอง

ประวัติกระบี่กระบองของไทย

............................................................

สมัยก่อน การรบแต่ละครั้ง มนุษย์จะยกพวกเข้าตะลุมบอนกัน อาวุธที่ใช้จึงเป็นพวกที่ใช้ในระยะใกล้ประชิดตัวของไทยเราก็รู้จักใช้กระบี่กระบองเป็นอาวุธ และในยามบ้านเมืองสงบก็ใช้การตีกระบี่กระบองเป็นการกีฬาเพื่อออกกําลังและฝึกฝนความแข็งแกร่ง เพื่อเตรียมพร้อมเสมอที่จะรับศึกกระบี่กระบองเป็นกีฬาที่เหมาะที่สุดในการซ้อมรบ เพราะคล้ายกับการรบจําลอง วัสดุก็หาง่าย คือ เอาหวายมาทําเป็นกระบี่ ดาบ ง้าว ฯลฯ เอาหนังหรือหวายมาทําเป็นโล่ห์ เขน ดั้ง ฯลฯ แล้วก็มาตีกันเล่นหรือแข่งขันกันเป็นคู่ ๆ ดุจจะสู้รบกันในสนามรบตัวต่อตัว เป็นการฝึกหัดรุกและรับไปในตัว ฝ่ายใดพลาดท่าเสียทีก็เจ็บตัว เพราะผู้เล่นมิได้ สวมเกราะป้องกันตัว จึงเป็นกีฬาที่ฝึกกายและใจอย่างดีเลิศในการฝึกนี้จะยึดหลัก 3 ประการ คือ
1. อบรมจิตใจให้กล้าหาญอยู่เสมอ ไม่ครั่นคร้ามต่อภยันตรายทั้งปวง
2. บํารุงกายบํารุงใจให้แข็งแกร่งมั่นคงอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญต่อความยากลําบาก อันเกี่ยวกับการรบได้ทุกเมื่อ
3. อบรมและฝึกฝนตนให้แม่นยําชํานาญในวิทยาการอันเกี่ยวกับการรบโดยเฉพาะ

เมื่อกล่าวถึงชาติไทยของเรา เป็นชนชาติที่มีการต่อสู้ศึกสงครามเพื่อป้องกันประเทศ รักษาความเป็นเอกราชของแผ่นดินที่ยาวนานชนชาติหนึ่ง คนไทยในยุคแรก ๆ ที่เริ่มก่อตั้งแผ่นดินสุวรรณภูมิแหลมทองมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ บรรพบุรุษในยุคดังกล่าวได้อาศัยสติปัญญา ความกล้าหาญและใช้อาวุธนานาชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่นและกองทัพเข้าต่อสู้ป้องกันมาโดยตลอด เริ่มจากกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์
ชาติไทยเป็นชาติที่รักสงบมากกว่าที่จะคิดเบียดเบียนใคร ความที่เป็นชาติที่รักสงบจึงมักถูกรังแกอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้คนในชาติสมัยก่อนต้องดิ้นรนช่วยตัวเองทั้งชายและหญิง บรรดาทหารกล้าตลอดจนชาวบ้านต่างฝึกฝน เสาะหาเรียนวิชาฟันดาบ และการต่อสู้ด้วยอาวุธนานาชนิด จึงเกิดมีการฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำจนถึงขั้นประลองฝีมือ
ในสมัยก่อน การประลองแบบแรกเป็นเรื่องจริงจังอาศัยหลักวิชาการต่อสู้เป็นหลัก จึงมีคนนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าประลองกับชาวต่างชาติ หรือชาวตะวันตกที่ใช้อาวุธของเขาเป็นหลักก็ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้น (ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ยังมีการประลองมวย และการต่อสู้ด้วยอาวุธหน้าพระที่นั่งเหมือนกัน) และแบบที่สอง เป็นพัฒนาการเล่นด้วยการแสดง ทำเลียนแบบ นัดแนะลูกไม้ แต่ไม่มีอันตรายใด ๆ นอกจากบาดเจ็บเมื่อพลาดพลั้งในบางครั้ง ซึ่งมีคนนิยมดูมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 – 2 มักจะเรียกว่า การประลองดาบ การประลองหอก การประลองยิงธนู เป็นต้น และเรียกบรรดาผู้คนที่มีวิชาความรู้เรื่องฟันดาบว่า นักดาบ นำหน้าสำนักหรือหมู่บ้านชุมชนนั้น ๆ เช่น นักดาบจากบ้านบางระจันนักดาบจากกรุงศรีอยุธยา นักดาบจากพุกาม ทหารจากพม่า ลาว เขมร แต่จะไม่มีใคร เรียกว่า นักกระบี่กระบอง เพราะคำว่า กระบี่กระบอง เกิดหลังรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

กระบี่กระบองนี้เป็นที่สนใจมากในหมู่ผู้ชายไทย ทั้งในราชสํานักและสามัญชน ตามที่กล่าวไปบ้างแล้วในข้างต้น ดังจะ เห็นได้จากในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดกระบี่กระบองเป็นพิเศษ ทรงเคยศึกษาวิชามวยและวิชากระบี่กระบอง ฟันดาบกับหลวงมล โยธานุโยค ในรัชกาลของพระองค์ จึงโปรดให้มีการตีกระบี่กระบอง และชกมวยไทยหน้าพระที่นั่งในงานสมโภชอยู่เนือง ๆ และโปรดเสด็จทอดพระเนตรและพระราชทานรางวัลแก่ผู้ที่รู้จักกันมากมายในกรุง ทําให้กระบี่กระบองมีกันดาษดื่นและมีมากคณะด้วยกัน นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอหลายพระองค์ ด้วยกันทรงหัดกระบี่กระบองจนครบวง ในปีขาล พุทธศักราช 2409 เป็นปีที่กําหนดให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ครั้นเมื่อทรงผนวชแล้ว โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แต่พระองค์อย่างราชกุมาร ซึ่งเล่นกระบี่กระบอง เป็นการสมโภชที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้านายที่ทรงกระบี่กระบองในครั้งนั้นคือ
คู่ที่ 1 กระบี่
เจ้าฟ้าจาตุรนตรัศมี (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์) พระองค์เจ้ากมลาศเลอสรร (กรมหมื่นราชศักดิสโมสร)
พระองค์เจ้าคัคนางคยุคล (กรมหลวงพิชิตปรีชากร)
คู่ที่ 2 พลอง
พระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ (กรมหมื่นภูธเรศธํารงศักดิ์)
พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์ (กรมหลวงอดิศรอุดมเดช)
คู่ที่ 3 จ้าว
พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ (กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม)
พระองค์เจ้าอุนากรรณอนันตนรชัย
คู่ที่ 4 ดาบสองมือ
พระองค์เจ้าชุมพลรัชสมโภช (กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์)
การเล่นกระบี่กระบองในสมัยรัชกาลนี้ เล่นกันแพร่หลายมากทั้งในงานโกนจุก งานบวชนาค งานทอดกฐินทาน งานทอดผ้าป่า ฯลฯ
ครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงสนพระทัย ในวิชานาฏศิลป์ และทรงเข้าพระทัยในศิลปของวิชากระบี่กระบองก็ตาม แต่ก็ไม่ทรงโปรดปราน มากเท่ากับพระราชบิดาของพระองค์ดังนั้น ความนิยมในการเล่นกระบี่กระบองจึงเริ่มลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีการจัดกีฬาชนิดนี้ขึ้นถวายเพื่อให้ทอดพระเนตรบ้างเป็นครั้งคราว เช่น ในปีพุทธศักราช 2460 กับ 2462 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการแสดงกระบี่กระบองขึ้นถวายทอดพระเนตร ที่สนามหน้าสามัคยาจารยสมาคม เนื่องในงานกรีฑาประจําปี
ครั้นมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) กระบี่กระบองค่อย ๆ หมดไป ๆ จนเกือบจะหาดูไม่ค่อยได้ นับวัน แต่จะสูญสิ้นไปทุกที
อนึ่ง นับแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่ามาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยเมื่อปี 2475 รัฐบาลได้พยายามฟื้นฟูประเพณีโดยจัดให้มีงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ อย่างครึกครื้น กระบี่กระบองก็ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยได้จัดให้มีการแสดงกระบี่กระบอง ขึ้นที่สนามหลวงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2482 ปรากฏว่าประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่ง ปี 2484 ได้มุ่งฟื้นฟูกีฬาประเภทนี้อย่างแท้จริง ปรากฏว่ามีจํานวนคณะกระบี่กระบอง เพิ่มขึ้นมาก
วิชากระบี่กระบอง ได้ถูกนำมาทดลองสอน นักเรียนพลศึกษากลาง ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยขณะนั้น อาจารย์ นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้มีความสนใจและมีความรู้ทางด้านนี้มากคนหนึ่ง เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพลศึกษากลาง ได้ทดลองสอนอยู่ 1 ปี ได้ผลเป็นที่พึงพอใจของท่านผู้ใหญ่ จึงได้กําหนดวิชากระบี่กระบองเข้าไว้ในหลักสูตรของประโยคผู้สอนพลศึกษา เมื่อปี 2479 พวกนักเรียนที่จบไปก็ได้รับราชการเป็นครูสอนวิชาพลศึกษาตามจังหวัดต่าง ๆ ได้นําวิชานี้ไปเผยแพร่ ปรากฏว่าประชาชนคนไทยได้ให้ความสนใจในวิชาศิลปของชาติชนิดนี้มาก
บรมครูแห่งวิชากระบี่กระบอง
บรมครูแห่งวิชากระบี่กระบอง
เมื่อมาถึง พ.ศ.2518 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายใหม่ และได้มีการกำหนดให้วิชากระบี่กระบองเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพลศึกษา ในรายวิชาบังคับ ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และต่อมาในปี พ.ศ.2521 กระทรวงศึกษาฯได้ประกาศหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นตามแนวแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 และได้กำหนดวิชากระบี่ 1 เป็นวิชาบังคับเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นับแต่นั้นมา

ที่มาของคำว่า "กระบี่กระบอง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น